วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

สำนวนภาษาอังกฤษ

"Give a man a fish and you feed him for a day; teach a man to fish and you feed him for a lifetime"
แปลตรงตัวได้ว่า “ถ้าท่านให้ปลาแก่เขา เขาจะมีปลากินเพียงแค่วันเดียวแต่ถ้าท่านสอนวิธีจับปลาให้เขา เขาจะมีปลากินตลอดชีวิต”
แต่ความหมายจริง ๆ โดยนัยแล้วคือเป็นการพูดถึง "ทำอย่างไรเราจะให้คนที่เราช่วยเหลือนั้นสามารถพึ่งพาตนเองได้" โดยการยกเรื่องปลาเป็นตัวอย่าง ลองนึกดูนะคะ ถ้าเราเจอคนๆนึงที่กำลังหิวมากๆ เราเอาปลาให้เขากิน วันนี้เขาอาจจะอิ่ม แต่พรุ่งนี้เขาก็ต้องหิวใหม่ เราก็ต้องได้หาปลามาให้เข้ากินทุกๆวัน ถ้าเราไม่อยู่แล้ว เขาก็จะไม่มีปลากินอีกต่อไป ก็ต้องหิวตาย แต่ถ้าเราสอนวิธีหาปลาให้เขา ถึงแม้ว่าเราจะไม่อยู่แล้ว เขาก็สามารถจับปลามากินได้เอง ไม่มีทางอดตาย
สำนวนนี้ เริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว ซึ่งก็น่าจะปี 1885 โดย นักเขียนชื่อ Anne Isabella Thackeray Ritchie ในนิยายเรื่อง Mrs. Dymond โดย Anne เขียนไว้ว่า
" ......but I suppose the Patron meant that if you give a man a fish he is hungry again in an hour. If you teach him to catch a fish you do him a good turn..... "
และสุภาษิตดังกล่าวนั้น สามารถตีความนำมาเป็นข้อคิดกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของคนเราได้แทบทุกเรื่องทีเดียว เช่น
1. เรื่องในครอบครัว ทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่มีอยู่ถ้าคอยแต่จะแจกจ่ายให้ลูกๆ ใช้อย่างเดียวไม่นานเดี๋ยวก็หมดไป แต่ถ้าพ่อแม่สอนวิธีหาเงินให้ลูกด้วยเขาก็จะมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต ซึ่งการที่พ่อแม่ส่งให้ลูกเรียนหนังสือ สอนวิชาชีพให้ ก็คือ “สอนวิธีจับปลา” ให้ลูกนั่นเอง
2. เรื่องการสอน การที่ครูสอนวิชาการให้ลูกศิษย์ก็คือ การสอนวิธีจับปลาให้ลูกศิษย์
3. เรื่องในชีวิตจริง การที่เราจะช่วยเหลือใครนั้น เราต้องช่วยเหลือเพื่อให้เขาช่วยเหลือตัวเองได้ไม่ใช่ช่วยเหลือเพื่อให้เขามาขอความช่วยเหลือจากเราบ่อยๆ ดังนั้น ถ้าจะช่วยเหลือเรื่องอะไรก็ต้องให้คำแนะนำแก่เขาด้วยเพื่อให้เขาสามารถพึ่งตัวเองได้ในโอกาสต่อไป เช่น มีคนมาขอให้เราช่วยแก้ปัญหาเรื่องคอมพิวเตอร์ให้เขาแทนที่เราจะนั่งแก้ให้เขาอย่างเดียว เราก็เรียกเขามาดูและอธิบายให้ฟังว่าปัญหามันเป็นอย่างนี้ ต่อไปถ้าปัญหานี้เกิดขึ้นอีก ก็ต้องทำแบบนี้จดวิธีการไว้ให้เลย เรียกว่า สอนวิธีจับปลาให้
นอกจากสอนวิธีจับปลา ยังต้องสอนวิธีเก็บรักษาปลาที่หามาได้ วิธีปรุงอาหาร ถนอมอาหารมิฉะนั้นเขาก็จะไม่มีปลากินในช่วงฤดูมรสุมที่ออกหาปลาไม่ได้ สอนวิธีเอาปลาไปขาย เพื่อจะได้ไม่ต้องกินแต่ปลาไปตลอด ....
มองมาที่ การพัฒนาคน ... หากเราให้เป็นของ เป็นเงิน ไม่ว่าจะครั้งเดียว หรือขึ้นเงินเดือนกี่ร้อยกี่พันบาท ก็เปรียบเสมือนการให้ปลา หากเราเพิ่มพูนวิชาชีพ ทักษะการทำงานแก่เขา ก็เปรียบเสมือนการสอนจับปลา ....
If you give someone a fish, they eat for a day.
If you teach someone to fish, they can feed themselves until the water is contaminated or the shoreline is seized for development.
If you teach someone to think critically and be politically conscious, then whatever the challenge, they can organize with their peers and stand up for their interests
เพราะฉะนั้นคนที่เป็นพ่อ แม่ หรือว่า ครูบาอาจารย์ เวลาลูกๆหรือว่านักเรียนเจอปัญหา ก็อย่าเพิ่งเสนอวิธีแก้ปัญหาให้โดยตรงนะคะ ลองสอนให้เขาคิดดูก่อนว่าควรจะแก้ปัญหานี้ได้ยังไง ต่อไปเขาก็จะได้คิดเองเป็น แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองเป็นค่ะ
แต่สิ่งสำคัญก็คือว่า เขาจะยอมเรียนรู้วิธีจับปลาที่เราจะสอนให้เขาหรือเปล่าและเขาขยันพอที่จะเรียนรู้หรือไม่ คนบางคนก็อยากได้ปลามาง่ายๆโดยไม่ต้องไปลงจับให้เปลืองแรง วิธีง่ายๆ สำหรับเขาก็คือ “การขอ” แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ ถ้าเขาไม่ยอมเรียนรู้วิธีจับปลาที่เราอยากสอนให้ ?
…วันนี้มีใครมาสอนวิธีจับปลาให้ท่านบ้างหรือยัง ? Does anyone teach you how to fish?
และตัวท่านเองได้สอนวิธีจับปลาให้ใครบ้างหรือยัง?… And, have you taught anyone how to fish yet?

ดัดแปลง แก้ไข จาก http://mblog.manager.co.th/chonsuri...

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2557

Quantifiers (2)

Quantifiers (2)
(คำบอกปริมาณ)
Some/Any
Some ใช้ได้ทั้งนามนับได้และนับไม่ได้
1. ใช้กับประโยคบอกเล่า
Example:        There are some books on the table.
There is some water in the glass.
2. ใช้ในคำถามที่ผู้ถามคาดหวังคำตอบไว้แล้วว่าจะเป็นอย่างไร
Example:        Do you have some pencils?
Is there some fruit juice in the fridge?
Any ใช้ได้ทั้งนามนับได้และนับไม่ได้
1. ใช้กับประโยคที่มีความหมายเชิงลบ
Example:        I don't have any pens.
He doesn't have any money.

2. ใช้กับประโยคคำถาม
Example:        Do you have any pens?

Is there any milk in the glass?

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Quantifiers (คำบอกปริมาณ) 1

Few/Little

นามนับได้มีรูปพหูพจน์
นามนับไม่ได้
ความหมาย
A few = some or enough
เช่น pens, friends, eggs etc.
A little = some or enough
เช่น water, salt, money
เชิงบวก
Few= not enough,not many
(ไม่มากนัก,น้อยมาก)
Little = not enough,not much
(ไม่มากนัก,น้อยมาก)
เชิงลบ

          Example:      
Examples
Meaning
I've got a little money.
I have got some money.
I've got a few friends. We meet everyday.
I have got some or enough friends.
Do you have a few pens?
เธอมีปากกาซักด้ามไหม?
I speak a little English.
ฉันพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย
I've got (very) little money. I need to borrow some.
I haven't got enough money.
I've got (very) few friends. I need to make new friends.
I haven't got enough.
Few people know him (=Not many people know him)
มีคนรู้จักเขาน้อยมาก
There is little water in the well.
มีน้ำในบ่อน้อยมาก


Much, Many and A lot  
         บอกปริมาณสิ่งของว่ามีจำนวนมาก เช่น
    much ใช้กับนามนับไม่ได้ (uncountable nouns) เช่น money, bread, water...etc.
C  How much money/bread/water…...is there?
    many ใช้กับนามนับได้ (countable nouns) เช่น students, desks, windows...etc.
C  How many students/teachers/desks….. are there?
              a lot, a lot of, lots of  ใช้กับนามนับได้และไม่ได้ (countable and uncountable nouns) 

How much money have you got?
I haven't got much money.
I have got a lot.
I have got a lot of money.
How many students are in the classroom?
There aren't many.
There are a lot.
There are a lot of/lots of students.


หมายเหตุ
1.        a lot, a lot of, lots of ใช้ในภาษาพูดทั่วไปแต่ถ้าต้องการใช้อย่างเป็นทางการให้ใช้
much หรือ many จะเหมาะสมกว่า.
2.        ประโยคบอกเล่าที่มี so, as or too, เราจะใช้ much / many ด้วย.
"Carla has so many friends."
"She has as many friends as Sue."

"Kevin has too much money."


วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

CONDITIONAL SENTENCES


CONDITIONAL SENTENCES
          
        ประโยคเงื่อนไข  คือ  ประโยคที่แสดง  “เงื่อนไข”  และ  “ผลอันเกิดจากเงื่อนไขนั้น”
นั่นคือ ประโยคที่ผู้พูดสมมติหรือคาดคะเนว่าถ้ามีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็จะมีเหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งตามมา เช่น ถ้าน้ำเดือดมันจะกลายเป็นไอ การกลายเป็นไออยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า “ถ้าน้ำเดือด” กล่าวคือถ้าน้ำเดือดมันจะกลายเป็นไอถ้าน้ำไม่เดือด มันก็จะไม่เป็นไอ

ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ  คือ
1. If – clause (ส่วนที่เป็นเหตุหรือเงื่อนไข)
2. Main clause (ส่วนที่เป็นผล)
เช่น
If John comes, Jenny will go. (ถ้า John มา Jenny จะไป)
ส่วนที่เป็นเหตุหรือเงื่อนไข (If – clause) คือ If John comes
ส่วนที่เป็นผล (Main clause) คือ Jenny will go

        ลักษณะโครงสร้างของประโยค

If-clause, main clause   หรือ

main clause if-clause

ข้อควรจำ
          จะเอา If – clause หรือ Main clause ขึ้นต้นก่อนก็ได้ แต่
(1)    ถ้าเอา If – clause ขึ้นต้น จะต้องใส่เครื่องหมาย Comma (,) หลัง If – clause
เช่น  If John comes, Jenny will go.
(2) ถ้าเอา Main clause ขึ้นต้น ไม่ต้องใส่เครื่องหมาย Comma (,) หลัง Main clause
เช่น    Jenny will go if John comes.
        ไม่ว่าโครงสร้างของประโยคจะปรากฏเป็นแบบใด แต่กริยาของ if-clause และกริยาของ
main clause จะต้องสอดคล้องกันตามกฎเกณฑ์เสมอ
ประโยคเงื่อนไขแบ่งเป็น 3 ชนิด  คือ
             1.   เงื่อนไขที่เป็นจริงเสมอและที่เป็นไปได้
             2.   เงื่อนไขสมมุติในปัจจุบัน
             3.   เงื่อนไขสมมุติในอดีต
          
1. ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 1 เป็นประโยคเงื่อนไขที่ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เป็นจริงเสมอ หรือคาดว่า
จะเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย จะมีลักษณะประโยคดังนี้
(1) ส่วนที่เป็นเหตุหรือเงื่อนไข (If – clause) ใช้ Present Simple (S+V1)
(2) ส่วนที่เป็นผล (Main clause) ใช้ Future Simple (S+ will + V1)
เช่น              If he works hard, he will pass the exam.      หรือ
He will pass the exam if he works hard.
(ถ้าเขาทำงานหนักเขาจะสอบผ่าน = ตอนนี้ยังไม่ได้สอบแต่คาดว่าเขาจะต้องสอบผ่าน)
                     If they have enough money, they will buy a new house.หรือ
                     They will buy a new house if they have enough money.
  (ถ้าพวกเขามีเงินเพียงพอพวกเขาจะซื้อบ้านใหม่ = ตอนนี้ยังไม่ได้ซื้อแต่คาดว่าพวกเขาจะซื้อ)

2. ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 2 เป็นประโยคเงื่อนไขที่ใช้แสดงเหตุการณ์ที่อาจเป็นจริง หรือไม่จริง
ก็ได้หรือไม่อาจเป็นจริงได้เลย ใช้กับเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคต จะมีลักษณะประโยคดังนี้
(1) ส่วนที่เป็นเหตุหรือเงื่อนไข (If – clause) Past Simple (S+V2)
 (2) ส่วนที่เป็นผล (Main clause) ใช้กริยารูป conditional (would + V1)

เช่น              If I got rich, I would travel around the world.    หรือ
                   I would travel around the world if I got rich
             (ถ้าฉันรวยฉันจะไปเที่ยวรอบโลก ซึ่งที่จริงแล้วฉันอาจจะไม่ไปเที่ยวก็ได้)
                   If he were the governor, he would build a new public hall.  หรือ
                   He would build a new public hall if he were the governor.
                        (ถ้าเขาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเขาจะสร้างหอประชุมใหม่)
นอกจากนี้แล้ว ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 2 อาจะจะมีการเปลี่ยนแปลงของคำกริยาใน Main clause
ใน 2 กรณีต่อไปนี้ คือ
2.1 ใช้ might แทน would เพื่อแสดงผลลัพธ์ที่อาจเป็นไปได้ และใช้ could แทน
would เพื่อแสดงความสามารถ โดยใช้โครงสร้างดังนี้
(1) ส่วนที่เป็นเหตุหรือเงื่อนไข (If – clause) Past Simple (S+V2)
(2) ส่วนที่เป็นผล (Main clause) กริยาจะเป็น might/could + V1
เช่น              If he tried again, he might get the answer.
(ถ้าเขาพยายามอีกครั้งเขาอาจจะได้คำตอบ = อาจจะได้คำตอบหรือไม่ได้ก็ได้)
If I had a lot of money, I could lend you.
             (ถ้าผมมีเงินมากผมสามารถให้คุณยืมได้ = อาจจะให้ยืมหรือไม่ให้ยืมก็ได้)


2.2 ถ้าคำกริยาใน Main clause เป็น Verb to be จะต้องใช้ were เพียงตัวเดียว
ไม่ว่าประธานจะเป็นอะไรก็ตาม โดยใช้โครงสร้างดังนี้
(1) ส่วนที่เป็นเหตุหรือเงื่อนไข (If – clause) คำกริยาจะเป็น were
(2) ส่วนที่เป็นผล (Main clause) คำกริยาจะเป็น would + V1
เช่น              If I were you, I would play with Sak.
             (ถ้าผมเป็นคุณผมจะเล่นกับศักดิ์ = ไม่อาจเป็นไปได้เพราะผมไม่สามารถเป็นคุณได้)

3. ประโยคเงื่อนไขแบบที่ 3 เป็นประโยคเงื่อนไขที่ใช้แสดงเหตุการณ์ที่ตรงข้ามกับความจริง
เพราะเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว จะมีลักษณะประโยคดังนี้
(1) ส่วนที่เป็นเหตุหรือเงื่อนไข (If – clause) Past Perfect (S+had + V3)
(2) ส่วนที่เป็นผล (Main clause) คำกริยาจะเป็น would have + V3
เช่น           
                   If they had known Note the Star, they would have invited her to the party.   
                   (ถ้าพวกเขารู้จักนท the Star พวกเขาจะเชิญมาร่วมงานเลี้ยง ความจริงคือ พวกเขาไม่รู้จัก Note the Star)